โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายพัฒนาคุณภาพครู ด้วยระบบ e-Training โดยให้ครูทั่วประเทศที่มีกว่า 4 แสนคน สมัครเข้ารับการอบรมผ่านเว็บไซต์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ 3 เว็บไซต์ ซึ่งมอบหมายให้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเขียนโปรแกรมขึ้นมา
ปัญหาที่เกิดขึ้นของการพัฒนาครูด้วยวิธีนี้ เริ่มตั้งแต่เวลาที่แจ้งให้ครูกว่า 4 แสนคนสมัครเข้ารับการอบรมในวิชาต่างๆ กว่าครูจะรู้ก็เป็นช่วงปิดเทอม ครูคนใดที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารในอินเตอร์เน็ตแทบไม่รู้เรื่อง รู้อีกครั้งก็เปิดเทอมแล้ว ทำให้ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบช้ากว่าคนอื่น หรือแทนที่จะได้เรียนได้อบรมในระบบ e-Training ตั้งแต่ช่วงปิดเทอม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
การลงทะเบียนเป็นสมาชิกเพื่อเข้าไปเรียนมีปัญหามากมาย เพราะทั้ง 3 เว้บไซต์ล่มเป็นเวลานาน ระบบไม่สามารถรองรับครูกว่า 4 แสนคนได้
ด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้พัฒนาตนเองตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ครูต้องเพียรพยายามเข้าไปในเว็บไซต์ดังกล่าว สิ่งที่ปรากฏคือ เปิดไปครั้งใดมักจะพบข้อความว่ามีผู้ใช้เป็นจำนวนมากให้รอก่อน บางครั้งเปิดรอเป็นวันๆ ยังไม่สามารถเข้าได้ ทำให้ครูไม่เป็นอันทำอะไรเกิดวิตกจริต
เมื่อเข้าเว็บไซต์ได้แล้ว กว่าระบบจะตอบรับให้เข้าไปเลือกวิชาที่สมัครเรียนได้ บางทีใช้เวลาอีกวันสองวันบ้าง หรือครูบางคนระบบก็ยังไม่ตอบรับให้เข้าใช้งานได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด รวมทั้งปัญหาอีกมากมาย
แสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์มีระบบการจัดการที่ไม่ดีเท่าที่ควร
เมื่อต้องการโหลดเอกสารมาอ่าน บางเรื่องในบรรดาหลายเรื่องที่ต้องอ่าน เอกสารมี 50-60 หน้า แต่สามารถคัดลอกมาวางในเวิร์ดเพื่อพริ้นออกมาอ่านได้ครั้งละหน้า การโหลดเอกสารจึงต้องเสียเวลามาก ส่วนจะให้ครูนั่งอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ทีละหน้า วันๆ ครูคงไม่ต้องทำอะไรรวมถึงอาจมีผลต่อสายตา ส่วนจะให้ฟังเสียงบรรยายอย่างเดียว บางทีเสียงบรรยายก็ไม่น่าฟังอีก
นอกจากครูต้องนั่งอ่านเอกสารแล้ว ยังต้องเขียนความคิดเห็นหรือตอบประเด็นคำถามในกระดานสนทนา หรือแสดงความคิดเห็นกับเรื่องที่อ่านประมาณ 8 ประเด็น จึงจะถือว่าผ่านเรื่องนั้นๆ แล้วถ้าครูมีจำนวนสี่แสนคน แบ่งเป็นครู 8 กลุ่มสาระวิชา เฉลี่ยครูกลุ่มสาระหนึ่งมีประมาณ 50,000 คนคนจำนวนนี้ต้องตอบประเด็นที่อ่านคนละ 8 ครั้งเป็นคำตอบทั้งระบบต่อ 1 วิชา 400,000 ครั้ง รวม8 วิชา เป็น 3,200,000 ครั้ง
ระบบไม่ล่มให้รู้ไป!ถามว่าระบบของเว็บไซต์ที่เขียนขึ้นมาในโครงการนี้จะรอง รับไหวหรือไม่ แค่เข้าไปสมัครสมาชิก เข้าไปอ่านเอกสาร ระบบยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ที่สำคัญเขียนแล้วใครจะอ่าน เหมือนครูให้นักเรียนส่งการบ้านแล้วครูไม่อ่าน หรือไม่ตรวจงานแล้วจะเขียนทำไมให้เสียเวลา
อีกทั้งระบบจะสามารถตรวจสอบคุณภาพของการเขียนได้หรือเปล่า เพราะเห็นข้อความที่คล้ายๆกันเหมือนจะลอกกันมา รวมทั้งมีคำตอบที่เหมือนจะไม่ถูกด้วย แล้วระบบจะรู้ไหมนี่!
หากไม่เน้นคุณภาพก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องให้ครูเขียน
การพัฒนาครูด้วยระบบ e-Training สร้างภาระให้ครูเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเวลาเรียนที่มีกำหนดเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ กลางวันครูต้องสอนแทบไม่มีเวลาว่าง จะเอาเวลาที่ไหนจดจ่อกับคอมพิวเตอร์
แค่ตอนสมัครเข้าระบบครูก็เครียดไปตามๆ กันว่าเมื่อไรจะสมัครได้ แล้วเรียนตอนไหนคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ อาจมีเพียงพอสำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ ส่วนโรงเรียนเล็กๆโรงเรียนในชนบทระบบอินเตอร์เน็ตเข้าถึงทุกท้องที่แล้ว? มีเพียงพอแล้ว?
แล้วครูที่โรงเรียนน้ำท่วมจะทำอย่างไรแต่กระทรวงศึกษาธิการคงไม่ต้องซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อการนี้หรอก เพราะจะทำให้ต้องเสีย
งบประมาณอีก รวมทั้งการให้ครูอบรมผ่านระบบ eTraining ไม่เหมาะกับครูที่ไม่ได้มีเวลานั่งอยู่เฉยๆจะได้นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ตลอดเวลา หรือถึง
แม้จะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ได้ ก็ไม่สามารถเข้าอบรมได้ เพราะเว็บไซต์ไม่เวิร์กมากๆ
ถ้าจะให้ครูไปใช้อินเตอร์เน็ตที่บ้าน ครูส่วนหนึ่งที่อายุมากๆ และไม่เชี่ยวชาญการใช้คอมพิวเตอร์ก็จะเกิดความเครียด หรือบางทีการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแต่ละบ้านอาจมีปัญหายังไม่ทั่ว ถึงอุปกรณ์การต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ที่เรียกว่าแอร์การ์ด จึงขายดิบขายดี เพราะครูส่วนหนึ่งที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตแต่ดั้งเดิม ต้องลงทุนซื้อแอร์การ์ดที่มี
ราคาตั้งแต่พันกว่าบาทไปถึงหลายพันบาท แล้วยังมีค่าชั่วโมงในการใช้งานอีก
บริษัทขายอุปกรณ์เหล่านี้พากันรวยไปตามๆ กัน
ระบบ e-Training พัฒนาคุณภาพครูได้จริง? หากจะวัดแค่ผลการสอบก่อนเรียนหลังเรียนการทำกิจกรรมระหว่างอบรม ด้วยการอ่านเอกสารการตอบประเด็นที่กำหนดแค่นั้น แน่ใจได้อย่างไรว่าการทำข้อสอบได้จะแสดงว่าครูพัฒนาจริง เพราะการทำข้อสอบด้วยความเบื่อหน่าย
ระบบการเรียนแบบนี้ ครูอาจเดาๆ ข้อสอบหรืออาจนั่งทำพร้อมๆ กันหลายคนแล้วช่วยกันทำดีไม่ดีอาจให้คนอื่นทำให้ก็ได้ โดยครูไม่อ่านเอกสารหรือการอ่านเอกสารอย่างเดียวไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร จะก่อให้เกิดการพัฒนาระดับสติปัญญาได้อย่างไร
โครงการพัฒนาครูด้วยระบบ e-Training ใช้งบประมาณสำหรับโครงการนี้ประมาณ 40 ล้านบาทโดยแบ่งเป็นเงินที่จัดสรรให้เขตพื้นที่การศึกษาละ55,000 บาท รวมทุกเขตพื้นที่การศึกษา ประมาณ12 ล้านบาท เป็นเงินที่ให้ใช้สำหรับการกำกับติดตาม หรือสรุปโครงการ แค่นั้นเองใช้เงินไปประมาณ 12 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือคงหนีไม่พ้นค่าจ้างเขียนโปรแกรมในโครงการนี้ ค่าเขียนหลักสูตร เนื้อหา ค่าวิทยากร และอื่นๆ
เงิน 40 ล้านบาท เป็นเงินจำนวนไม่น้อย หากได้นำมาใช้อบรมครูจริงๆ ในหลักสูตรที่จำเป็นด้วยวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ เงินจำนวนนี้น่าจะได้ใช้พัฒนาครูได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพราะระบบ e-Training ที่ระบบเองไม่พร้อม เปิดได้บ้างไม่ได้บ้าง ล่มเป็นวันๆ ครูต้องเฝ้ารอว่าเมื่อไรจะใช้ได้ เสียเวลามาก ก่อให้เกิดความเครียดมากกว่าจะได้พัฒนาครูทั้งระบบจริงๆ
ระบบก็ไม่พร้อม ไม่รู้รีบร้อนอะไรนักหนา การพัฒนาครูด้วยวิธีนี้ในเวลา 1 เดือน ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย คิดหรือว่าจะเป็นวิธีพัฒนาครูที่ดีที่สุด และเป็นการสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองให้กับครูได้จริงๆ ?
บางทีการอยู่กับเทคโนโลยีที่เป็นวัตถุมากๆอาจทำให้ชีวิตของเราขาดอะไรไปบางอย่างหรือเปล่า?
แทนที่จะให้ครูมัวสาละวนอยู่กับคอมพิวเตอร์ไม่พูดไม่จากัน กลายเป็นคนขาดมนุษยสัมพันธ์ทั้งที่อาชีพครูเป็นอาชีพที่ต้องฝึกทักษะการสื่อ สารกับผู้คนรอบด้าน ความเคยชินกับการอยู่กับอุปกรณ์ที่ไร้ชีวิตจะทำให้ครูพัฒนาคุณภาพของตนเอง ได้จริงๆ ?
การพัฒนาครูทั้งระบบด้วยการอบรมสัมมนาศึกษาดูงาน พบปะผู้คน หรือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับครูหลากหลายโรงเรียน และกับวิทยากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่าให้ครูมัวนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ โดยไม่รู้ว่าตนเองได้อะไร นอกจากรีบๆ อ่าน รีบๆ ทำข้อสอบให้แล้วไป รวมทั้งระบบโปรแกรมที่ยังไม่เสถียร ยิ่งทำให้ครูเครียดกันทั้งระบบ
|